วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Lexus RX270 ความลงตัวที่จับต้องได้

       RX270 เป็นรถรุ่นล่าสุดในตระกูล RX ที่เลกซัสกรุ๊ปภูมิใจนำเสนอให้แก่ลูกค้าที่ต้องการครอบครอง SUV ระดับพรีเมียมแบรนด์ “เลกซัส” โดยไม่ต้องจ่ายเงินถึง 6 ล้านบาทเพื่อจะเป็นเจ้าของ เพราะ RX270 คันนี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์ที่เล็กลงเลยส่งผลให้ราคาต่ำลงไปด้วย โอกาสที่จะได้สัมผัสจึงไม่ใช่เรื่องยากเหมือนที่ผ่านมา 
      
       บวกกับเลกซัสต้องการนำ RX270 มาเสริมไลน์ในกลุ่ม Low Luxury SUV (ระดับราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาท) ซึ่งมีผู้เล่นเพียงแค่ 2 รายเท่านั้น คือ บีเอ็มดับเบิลยู X3 25i, X3 20d และวอลโว่ XC90 แถมยังมียอดขายมากกว่ากลุ่ม High Luxury SUV ที่มีคู่แข่งทั้งบีเอ็มดับเบิลยู X5 25i, เมอร์เซเดส-เบนซ์ ML300, เลกซัส RX 450h, RX350 และเกรย์มาร์เกตที่ขายรุ่นเดียวกับเลกซัสแต่มีราคาถูกกว่า 2.3 ล้านบาทในรุ่น RX 450h และ 1.4 ล้านบาทในรุ่น RX350
       เมื่อ RX270 คือความคาดหวังใหม่ของเลกซัส ในการเจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการ SUV ระดับหรู ที่สำคัญสุดคือราคาที่สามารถจับต้องได้ เรามองลองดูกันว่า RX270 เรือธงลำใหม่มีอะไรเป็นจุดเด่น-จุดขายที่จะต่อกรกับคู่แข่งและน่าจับจองหรือไม่ โดยเฉพาะเป้าหมายที่เลกซัสกรุ๊ปต้องการคือเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 25% ในเซกเมนต์ Luxury SUV ปีหน้า
      
       รายละเอียดของตัวรถที่ถือว่าใหม่สุด และเป็นจุดขายอยู่ที่เครื่องยนต์ที่เล็กลงในรหัส 1AR-FE ขนาด 2.7 ลิตร Dual VVT-i ให้กำลังสูงสุด 185 แรงม้า ที่ 5,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 252 นิวตันเมตรที่ 4,200 รอบต่อนาที ส่งกำลังสู่ล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และด้วยเครื่องที่เล็กลง ส่งผลให้อัตราการบริโภคน้ำมันลดลงไปด้วย โดยเลกซัสเคลมไว้ที่ 10.2 กม/ลิตร (ขณะที่ RX350 มีอัตราบริโภคน้ำมันอยู่ที่ 8-9 กม/ลิตร) 
      
       ส่วนของมิติตัวรถทั้งความยาว ความกว้าง เท่ากับ RX350 เนื่องจากบอดี้เป็นตัวเดียวกัน ขณะที่ความสูงจะเตี้ยลงมาแค่ 5 มิลลิเมตร คือ 1,685 (1690) แต่รุ่นใหม่ที่นำเข้ามาแทนที่รุ่นเดิมทั้ง RX350 และ RX450h เตี้ยลงมา 5 มิลลิเมตรเหมือนกัน ทั้งนี้ เนื่องจากทางเลกซัสได้มีการเปลี่ยนหลังคากระจกแก้วมาเป็นหลังคาเหล็ก ความหนาของกระจกเลยลดลง ส่วนน้ำหนักตัวรถก็ลงเหมือนกันเป็นผลมาจากเครื่องยนต์ที่เล็ก และการปรับเปลี่ยนจากระบบขับเคลื่อน 4 ล้อมาเป็นขับเคลื่อนล้อหน้าอย่างเดียว เลยส่งผลต่อเนื่องไปยังน้ำหนักตัวรถเบาขึ้น 100 กว่ากิโลกรัม
      
       ในส่วนของโครงสร้าง ระบบรองรับ ระบบส่งกำลัง ระบบบังคับเลี้ยว ก็จะเหมือนกับ RX350 ยกเว้นระบบขับเคลื่อนที่เป็น 2 ล้อหน้า ซึ่งจริงๆ แล้วใน RX 350, RX450h หรือ บีเอ็มดับเบิลยู X3 จะเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ หมายความว่ามันจะขับ 4 ล้อ ในเงื่อนไขจำเป็นเท่านั้น ถ้าในทางตรงความเร็วคงที่ก็จะขับเคลื่อนแค่ 2 ล้อหน้าอย่างเดียว แต่ที่มีขับเคลื่อน 4 ล้อ ก็เพื่อเพียงแค่เพิ่มสมรรถนะให้เกินความหวังของลูกค้าในช่วงความเร็วสูงในขณะเข้าโค้ง การออกตัว การลื่นไหล เท่านั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงโอกาสจะใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ นั้นน้อยมากโดยเฉพาะการขับขี่ในชีวิตประจำวันที่อยู่แต่ในเมือง
      
       สำหรับรูปลักษณ์ภายนอก-ภายใน ของ RX270 ไม่ได้แตกต่างจาก RX350 สักเท่าไร ยังคงมีหน้าตาคล้ายกัน ถ้าไม่มีตัวเลขบอกรุ่นด้านท้าย เสมือนว่าลูกค้าที่ซื้อ RX270 มีความรู้สึก ความภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของแบรนด์เลกซัสเหมือนกัน เพราะว่ามันไม่มีอะไรด้อยไปกว่ากันเพียงแค่ RX350 มีลูกเล่นมากกว่า แรงม้า-แรงบิดที่มากกว่า ขณะที่ภายใน RX270 ยังคงความหรูหรา ความนิ่มนวล ความเงียบ ความสะดวกสบายพร้อมวัสดุคุณภาพเดียวกับ RX350
      
       ส่วนเทคโนโลยีความปลอดภัยมีครบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering) ที่จะช่วยออกแรงตามหรือสวนทางของการหักพวงมาลัยเพื่อรักษาการทรงตัวของรถ, ระบบการจัดการรวมไดนามิกของตัวรถ VDIM (Vehicle Dynamics Integrated Management) ซึ่งจะทำการควบคุมทั้งกำลังเครื่องยนต์ เบรก และพวงมาลัยให้สามารถทำงานกันได้อย่างสมดุล รวมถึงตำแหน่งของถุงลมนิรภัยที่มีอยู่ถึง 10 ใบมากกว่าบีเอ็มดับเบิลยู X3 และวอลโว่ XC90 โดยเฉพาะถุงลมนิรภัยกั้นหัวเข่า คู่แข่งทั้ง 2 ค่ายไม่มี 
      
       แน่นอนเมื่อเครื่องเล็กลง หลายคนตั้งคำถามว่ารถจะอืดไหม ..หลังได้ทำการทดลองขับไม่รู้สึกว่าเครื่องอืดแต่กลับตรงกันข้ามอัตราเร่งตอบสนองได้ดีเพียงแค่กดคันเร่งเบา ๆเจ้า RX 270 ก็ทะยานไปอย่างรวดเร็ว ส่วนที่ความเร็วต่ำก็ตอบสนองทันใจ แม้ในจังหวะเร่งแซงกระชั้นชิด น้ำหนักเบรกกำลังดี การบังคับควบคุมพวงมาลัยมีความแม่นยำ น้ำหนักหมุนเบามือขับง่าย ไม่มีปัญหาสำหรับคุณผู้หญิงที่ขับรถเอง แม้ว่ารูปร่างจะดูใหญ่โต เพราะความที่เป็นรถขับง่าย ทำให้ไม่รู้สึกถึงความเทอะทะของตัวรถ 
      
       ยิ่งในช่วงถนนโล่ง รถว่าง ลองกดทำความเร็วสูงขึ้นตัวรถวิ่งไปอย่างเนียนๆ แบบว่าไม่รู้สึกว่ากำลังขับเร็วเลย แต่ถ้าเทียบกับ RX350 อัตราเร่งย่อมดีกว่าอยู่แล้ว เพราะเครื่องใหญ่กว่า แต่ถ้าเทียบกับตัวมันเอง 0-100 กม/ชม. อยู่ที่ 11 วินาที ถือว่าไม่อืดจนน่าเกลียด กำลังดี สมตัว
      
      
       เมื่อเปลี่ยนมาเป็นผู้โดยสารบ้าง มีโอกาสสำรวจภายในรถ แผงคอนโซลหน้าที่ดูแล้วมีการจัดวางที่ลงตัว หรูหรา เบาะหนังคุณภาพดีสำหรับรถระดับนี้คงไม่ต้องพูดถึงมากนัก ที่นั่งทั้งด้านข้างคนขับ ข้างหลัง รู้สึกนั่งสบาย มีปุ่มปรับระดับเพียบ พื้นที่ช่วงขาเหลือเฟือ ส่วนแรงสะเทือนแทบจะไม่ได้สัมผัส เพราะช่วงล่างนุ่ม นิ่ง นั่งสบายมากๆ 
      
       สนนราคาของRX270 รุ่น Luxury 3.79 ล้านบาท และรุ่น Luxury with Moonroof 4.09 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 รุ่นมีจุดที่แตกต่างกัน 3 จุดคือ ในรุ่นหลัง 1.จะมีหลังคา Moonroof 2.ประตูหลังปิดด้วยไฟฟ้า 3.กล้องมองภาพถอยหลัง 
      
       ถึงบรรทัดนี้อยากจะบอกว่าหากคุณเลือกเป็นเจ้าของ RX270 รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนเพราะนอกจากจะได้ขับขี่รถที่มีแบรนด์อิมเมจในความเป็นรถหรูหรากับราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้แล้ว ยังได้อุปกรณ์ต่างๆ ภายในก็ครบเครื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ภายในห้องโดยสารถือว่าได้เปรียบและเป็นจุดเด่นหากเทียบกับคู่แข่งอย่าง X3 เพราะบอดี้ของ RX270 ไซส์เดียวกับ RX350 ที่สำคัญความคุ้มค่าในการประหยัดน้ำมัน เนื่องจากเครื่องยนต์ที่เล็กลง 
      
       ทั้งหมดคือความลงตัวของเจ้า RX270 เพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตในเมืองแบบสบายสไตล์หรูที่ไม่ต้องจ่ายแพงจนโอเวอร์ 
       

“เฟียต 500” ดูเท่ แต่ขับไม่เท่าไหร่

การกลับมาของ “เฟียต 500” ยุคใหม่ ภายใต้การทำตลาดของ “ไทยเพรสทีจโอโตเซลส์” ในเครือ“พระนครยนตรการ” ดูจะห่างไกลกับการเป็นรถเล็กขวัญใจมหาชนในอดีต ด้วยการวางตำแหน่งให้เป็นรถหรู พร้อมราคาขายระดับ 1.69 ล้านบาท ไปจนถึงรุ่นเปิดหลังคา (Convertible) 2.19ล้านบาท เรียกว่าคนฐานะธรรมดาเอื้อมไม่ถึง หรือไม่อยากเอื้อมแล้วครับ
       จริงๆ“เฟียต 500” เริ่มวิ่งให้เห็นในเมืองไทยมากว่า 2 ปีแล้ว จากการนำเข้ามาของบรรดาเกรย์มาร์เก็ต แต่การทำตลาดจากตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ “ไทยเพรสทีจโอโตเซลส์” เพิ่งเปิดตัวปลายปี 2552
      
       ...อาจจะช้าไปสักหน่อยสำหรับการนำรถมาลองขับ แต่ก็คงเสียโอกาส ถ้าพลาดสัมผัสความคลาสสิคแห่งอิตาลี โดย“ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ได้ลองรุ่น Premium ราคา 1.85 ล้านบาท ซึ่งรุ่นนี้จะเสริมออปชันอย่าง เบาะหนัง หลังคากระจก ล้ออัลลอย 16 นิ้ว ประกบบยางขนาด 195/45R16 คาลิเปอร์เบรกสีแดง เซ็นเซอร์ถอยหลัง ขณะเดียวกันสิ่งอำนวยความสะดวก-ปลอดภัยมาตรฐานมีทั้ง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน แอร์อัตโนมัติ เครื่องเล่นซีดี MP3 พร้อมช่องต่อ USBและบลูทูธเชื่อมต่อโทรศัพท์
       ระบบเบรก ABS กระจายแรงเบรก EBD เสริมแรงเบรก BA ระบบความคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ระบบป้องกันรถไหลบนทางลาดชัน รวมถึงถุงลมนิรภัยคู่หน้าและด้านข้าง ม่านถุงลมนิรภัยป้องกันศีรษะ ขณะที่ด้านคนขับแถมถุงลมนิรภัยป้องกันหัวเข่า เรียกว่าจัดมาให้เพียบ และค่อยดูสมเหตุสมผลขึ้นมาหน่อยกับรถราคาล้านกลางๆ
      
       “เฟียต 500” ใช้แพลตฟอร์มเดียวกับรถเล็กร่วมค่ายรุ่น “แพนด้า” (ฟอร์ดเอาไปใช้ในรุ่น KA ด้วย) เลย์เอ้าท์ เครื่องยนต์วางหน้า ขับเคลื่อนล้อหน้า ตามสมัยนิยมของซิตี้คาร์ยุคใหม่ ครอบด้วยตัวถังแฮทซ์แบ็ก 3 ประตู ส่วนรุ่น 500C จะเป็นตัวถังเปิดประทุนรับลม
      
       มิติตัวถังรุ่นแฮทซ์แบ็กยาว 3,546 มิลลิเมตร กว้าง 1,627 มิลลิเมตร สูง 1,488 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,300 มิลลิเมตร ขณะที่เครื่องยนต์เบนซิน 1.4 ลิตร 100 แรงม้า แบกน้ำหนักรถเพียง930 กิโลกรัม
      
       ภายในตกแต่งเน้นความคลาสสิคย้อนยุค ไม่ว่าจะเป็นสีสันพวงมาลัย แผงคอนโซลหน้า เบาะหนังสีน้ำตาล โดดเด่นด้วยเรือนไมล์วงกลมโตแสดงค่าการทำงานต่างๆของรถ รวมถึงความเร็ว (แสดงเป็นไมล์ต่อชั่วโมง) - รอบเครื่องยนต์ (ซ้อนกันอยู่ 2ชั้น)
      
       สำหรับตำแหน่งคนขับ-ผู้โดยสารด้านหน้า ถ้าคนสูงระดับ 180 เซนติเมตร ช่วงขาอาจจะขัดๆนิดหน่อย เบาะหนังโอบกระชับนั่งสบาย การปรับระดับใช้มือโยก ส่วนพนักพิงศีรษะทรงกลมไม่แน่ใจว่าใช้วัสดุอะไร แต่ผู้เขียนลองสะบัดหัวไปโดน รู้สึกเหมือนโดนเขียงหมูแข็งๆ ประมาณนั้น
      
       ตัวรถขนาดกะทัดรัด พร้อมโอเวอร์แองค์สั้นๆ ขับคล่องตัวทีเดียว ส่วนตำแหน่งเกียร์วางอยู่บริเวณคอนโซลหน้า ใกล้ปุ่มปรับเครื่องปรับอากาศ ไม่มีปัญหาสำหรับระยะโยกเปลี่ยนเกียร์ ด้านพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้าน้ำหนักเบาเน้นการขับในเมือง แน่นอนว่าถ้าใช้ความร็วสูงก็หวิว แถมวงเลี้ยวขาดๆเกินๆ ตรงนี้ต้องใช้เวลาปรับตัวกันสักระยะ
      
       เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.4 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 100 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 131 นิวตัน-เมตร ที่ 4,250 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์กึ่งอัตโนมัติ 5 สปีด หรือAutomatic Manual Transmission
      
       เกียร์แบบคลัตซ์ไฟฟ้าชุดนี้ เหมือนกับที่โปรตอน ใช้ใน “แซฟวี่” ครับ ซึ่งข้อดีคงเป็นการส่งกำลังรวดเร็ว สูญเสียกำลังน้อย ส่งผลถึงประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน แต่การขับจริงๆไม่ค่อยราบลื่น(ตามสไตล์เกียร์ธรรมดา) มีช่วงโยกวูบตลอด โดยเฉพาะช่วงรอบต่ำ 1,000-1,500 รอบ และน่าจะปวดหัวมากถ้าขับช่วงรถติด
      
       ด้วยประสิทธิภาพเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังชุดนี้ ทำให้ “เฟียต 500” มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 10.5 วินาที ความเร็วสูงสุดทำได้ถึง 182 กม./ชม. ส่วนอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ย เคลมไว้ที่ 15.9 กม./ลิตร
      
       การขับจริงก็สะท้อนตัวเลขดังกล่าว อย่างช่วงออกตัวหรือเร่งเครื่องช่วงความเร็วต่ำทำได้สมเนื้อสมตัว ไม่อืดแต่ไม่ถึงกับจี๊ดจ๊าด จังหวะต้องการแซง พยายามเข่นคันเร่งและรอรอบนิดนึง รถก็ผ่านฉลุย
      
       ช่วงล่างหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท หลังเป็นคานแข็งทอร์ชันบีม พร้อมยางบริดจสโตนขนาด195/45R16 เซ็ทมาแข็งเป้ก การขับหนึบหนับเกาะถนน ถ้าเทียบกับ“มินิ” น่าจะพอๆกัน แต่อย่างที่บอกว่า “เฟียต 500” พวงมาลัยค่อนข้างเบา ดังนั้นการขับความเร็วสูงแม้ช่วงล่างจะนิ่ง การถ่ายเทน้ำหนักทำได้สมดุล แต่มาเจอความรู้สึกกับพวงมาลัย กลายเป็นไม่สอดคล้องกัน
      
       การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งเสียงลมปะทะ เสียงยางบดพื้น สะท้อนเข้ามาชัดตั้งแต่ความเร็ว 80-90 กม./ชม.ขึ้นไป อย่างไรก็ตามจุดที่ต้องชม และลืมไม่ได้คงเป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ ที่ตอบสนองยอดเยี่ยม ระยะชะลอหยุดตามคาด และไม่ออกแนวหัวทิ่ม
      
      
       รวบรัดตัดความ...ขับขี่สบาย ช่วงล่างเยี่ยม ประหยัดน้ำมัน วิ่งในเมืองโดดเด่นคล่องตัว ซึ่งต้องขอบคุณ “เฟียต” ที่นำซิตี้คาร์สุดคลาสสิครุ่นหนึ่งของโลกมาทำตลาดใหม่ แต่กลับกันก็น่าเสียดายที่คนไทย มีโอกาสเข้าถึงรถรุ่นนี้น้อยลง
      
       ...เมื่อก่อนชาวบ้านทั่วไปอาจซื้อ“เฟียต 500”ไว้จ่ายตลาดสดแถวบ้าน แต่ปัจจุบันคงเป็นเรื่องของคนใจรัก มีฐานะใช้เป็นพาหนะชอปปิ้ง“พารากอน”เสียแล้ว