วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

“โตโยต้า พริอุส ใหม่”ถึงเวลา...ไฮบริดสุดคุ้ม

 หลัง “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” นำเสนอบททดสอบ “โตโยต้า พริอุส ใหม่” เจเนอเรชันที่ 3 ไปเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งครานั้นต้องข้ามน้ำผ่านทะเลไปถึงประเทศญี่ปุ่น พร้อมลองขับในเวลา-เงื่อนไขจำกัด บนสนามแบบปิด
      
       ล่าสุดหลังการเปิดตัวทำตลาดในไทย (16 พ.ย.) โตโยต้าไม่รอช้า รีบเจียด “พริอุส ใหม่” จากโรงงานเกตเวย์ จังหวัดฉะเชิงเทรา มาจัดทริปให้สื่อมวลชนได้ลองขับกันเต็มๆบนท้องถนนจริง ซึ่งครานี้ไปไกลถึงเหนือสุดชายแดนไทย “จังหวัดเชียงราย”
      
       ***ออปชันอัดมาเพียบ
      
       ก่อนอื่นเรามาดูสเปกคร่าวๆของ “พริอุส ใหม่” ซึ่ง โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย แบ่งระดับการทำตลาดเป็น 2 เกรด คือ ตัวสแตนดาร์ด ราคา 1.19 ล้านบาท และ ตัวท็อป 1.26 ล้านบาท ส่วนใครอยากได้สีขาวมุกต้องเพิ่มเงินอีก 10,000 บาท
      
       “ตัวท็อป” ออปชันจะต่างกับ “ตัวสแตนดาร์ด” คือ ไฟหน้าโปรเจคเตอร์เลนส์ใช้หลอด LED (สแตนดาร์ด ใช้ฮาโลเจน) และมีระบบปรับลำแสงสูง-ต่ำ อัตโนมัติ ระบบทำความสะอาดไฟหน้า ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ส่วนวัสดุภายใน“ตัวท็อป” ใช้เบาะหนัง (สแตนดาร์ดใช้เบาะผ้า) พร้อมระบบอุ่นเบาะคู่หน้า รวมถึงเครื่องเล่นวิทยุ ซีดี6 แผ่น (สแตนดาร์ด เล่นได้ 1 แผ่น) รองรับไฟล์ MP3 /WMAมีช่องต่อ AUX และระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ไร้สาย “บลูทูธ”
       ส่วนออปชันที่จัดเป็นมาตรฐานเหมือนกันทั้งสองรุ่น ไล่ตั้งแต่ ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง สปอยเลอร์หลัง ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว ประกบยาง 195/65 R15 รวมถึงระบบเปิดประตู-สตาร์ทแบบไร้กุญแจ ซึ่งโตโยต้าบอกว่าเป็นเวอร์ชันใหม่ และฉลาดกว่าที่ใช้ในรถรุ่นอื่นๆของค่ายในตอนนี้
      
       อุปกรณ์อำนวยความสะดวก มีปุ่มควบคุมมัลติฟังก์ชันที่พวงมาลัย พร้อมแสดงผลการขับขี่ผ่านจอ MID และจอแสดงตัวเลขความเร็วบริเวณกระจกหน้า(คนขับ) รวมถึงระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ด้านความปลอดภัยจัดมาเพียบทั้ง สัญญาณไฟเบรกกระพริบเมื่อเบรกกะทันหัน ระบบควบคุมการทรงตัว (VSC) ระบบกระจายแรงเบรก (EBD) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC) และระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมถุงลมนิรภัย 7 จุดรอบคัน คู่หน้า-ด้านข้าง ม่านด้านข้าง และที่หัวเข่าฝั่งคนขับ
      
       ***นั่งสบาย แต่ทัศนวิสัยจำกัด
      
       “พริอุส ใหม่” ยังยึดการพัฒนาบนตัวถังแฮทซ์แบ็ก 5 ประตูเหมือนรุ่นเดิม ส่วนมิติรวมๆก็ใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะระยะฐานล้อเท่ากันแป๊ะ 2,700 มม. ในส่วนผู้เขียนมีโอกาสลองนั่งทุกตำแหน่งของรถ ทั้ง ผู้โดยสารด้านหลัง ซึ่งขนาดเบาะนั่งและความชันของพนักพิงกำลังพอดี ระยะยืดแข้งขาสบาย ระยะหัวเหลือๆไม่อึดอัด ขณะเดียวกันพื้นที่ความจุสำภาระด้านหลังระดับ 445 ลิตร แถมเบาะหลังสามารถปรับให้ราบลงมา เพิ่มความอเนกประสงค์ได้อีกโข
      
      
       อย่างไรก็ตามในส่วนของตำแหน่งผู้ขับ หลังปรับระยะเบาะ(ด้วยมือโยก)ให้ถนัดถนี่แล้ว ยังพบว่าทัศนวิสัยรวมๆ ดูขัดหูขัดตาไปนิด ตั้งแต่การเบียดบังจากเสาเอ-พิลลาร์ด้านขวา รวมถึงการกะระยะด้านหน้า(ฝากระโปรง) และการส่องกระจกมองหลังที่มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัดตามสไตล์รถแฮทซ์แบ็ก ทั้งยังต้องใช้เวลาปรับตัวกับจอแสดงผลต่างๆของรถที่ดูละลานตาไปหมด
      
       ส่วนจอสะท้อนตัวเลขความเร็ว (กม./ชม.) บริเวณกระจกหน้าด้านคนขับ ที่โตโยต้าเรียกว่า HUD (Head-up Display) ดูหรูหราไฮโซเหมือนพวก “เอส-คลาส” “ซีรีส์7” มองเห็นชัดเจนแม้เป็นช่วงกลางวันแดดจ้า (คาดว่ากลางคืนยิ่งโดดเด่น) แต่ถ้าใครไม่ชอบเพราะเห็นว่ากวนสายตา ก็สามารถปิดระบบนี้ได้
      
       ***ชอบประหยัด-จัดแรง เลือกได้
      
       “พริอุส ใหม่” มาพร้อมระบบไฮบริดแบบ Hybrid Synergy Drive และหันมาคบขุมพลัง 1.8 ลิตร แทนขนาด 1.5 ลิตรในรุ่นเดิม โดยเครื่องยนต์เบนซินแบบAtkinson Cycle รหัส 2ZR - FXE 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VVT-I ให้กำลังสูงสุด 99 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที
      
      
       ขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 82 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 207 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแปรผันต่อเนื่อง CVT พร้อมการสั่งงานด้วยไฟฟ้า และถ้าผสานการทำงานของสองพลังขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ จะรีดกำลังสูงสุดได้ถึง 136 แรงม้า
      
       สำหรับการขับทดสอบผู้เขียนเริ่มต้นขบวนจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มุ่งขึ้นเหนือไปดอยตุง ผ่านบ้านช้างมูบ วิ่งตามสันเขาเลาะตะเข็บชายแดนไทย-พม่า ก่อนลัดเลี้ยวลงมายังอำเภอแม่สาย และวกกลับมาใช้ถนนสายหลัก(พหลโยธิน) เพื่อเข้าที่พัก ณ ภูใจใส รีสอร์ท ระยะทางกว่า 100 กิโลเมตร
      
       โดย“พริอุส ใหม่” สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ 3 รูปแบบ กล่าวคือนอกเหนือจากการขับแบบปกติ ที่เครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยกันทำงานตามแบบฉบับรถไฮบริดแล้ว คุณยังมีทางเลือกตามหัวใจสั่ง เพียงแค่กดปุ่มเปลี่ยนโหมดบริเวณคอนโซลกลาง หรือใกล้ๆกับคันเกียร์ได้อีกด้วย
      
       แบบแรกเป็น “พาวเวอร์โหมด” ที่เครื่องยนต์ กับ มอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานขยันขันแข็ง ตอบสนองแรงกดของฝ่าเท้าได้ดีสุดๆ ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนค่อนข้างประหลาดใจว่า การขับพาวเวอร์โหมด จะรีดสมรรถนะได้เต็มที่ขนาดนี้ อย่างไรก็ตามแม้จะอยู่ในโหมดปกติ (ไม่ต้องกดเลือกอะไร) “พริอุส ใหม่” ยังสอบผ่านฉลุย การลุยทางชันสู่ดอยตุง ปลดปล่อยพละกำลังทำได้ดีเกินคาด ไม่ต้องเร่งลุ้นให้เหนื่อย
      
       แต่กระนั้นถ้าคุณไม่ต้องการเร่งรีบ หรือโหมดปกติยังไม่ประหยัดรักษ์โลกดั่งใจ คุณสามารถเลือก“อีโค โหมด” ที่ระบบจะคิดคำนวนการใช้พลังงานต่างๆอย่างคุ้มค่า โดยเครื่องยนต์สั่งงานเนือยๆ มอเตอร์จ่ายไฟนิดๆ ให้การขับเคลื่อนหนืดๆ พร้อมดูแลการใช้ไฟต่างๆของรถ และเครื่องปรับอากาศ ให้อยู่ในระดับเหมาะสม
      
       ส่วน “อีวี โหมด” ที่จะให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานอย่างเดียว คงจะเหมาะกับบางสถานการณ์ที่ต้องการความเงียบ หรือช่วยลดปล่อยมลพิษในบางสถานที่ หรือใช้วิ่งระยะทางสั้นๆ โดยระบบนี้ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 48 -50 กม./ชม. (ค่อยๆเหยียบ) ซึ่งถ้าเกินกว่านี้ระบบจะตัดเข้าโหมดปกติโดยอัตโนมัติ
      
       ขณะเดียวกันถ้าใช้“โหมด อีวี” แล้วขับแช่ที่ความเร็ว 30-40 กม./ชม. ไปเรื่อยๆ รถจะวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ระยะสั้นๆเท่านั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะขับขี่ การใช้เครื่องปรับอากาศ และประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่ (ถ้าแบตเกือบเต็มน่าจะวิ่งได้ประมาณ2-3 กิโลเมตร)
      
       ***ช่วงล่างนิ่ง-แฮนด์ลิ่งเนียน
      
       การขับทริปนี้มีทั้งทางตรงยาว ที่ผู้เขียนได้ลองใช้ความเร็วสูงสุดถึง 160 กม./ชม. หรือขับช่วงถนนโล่งก็วิ่งอยู่ 120กม./ชม. ต้องยอมรับว่าการทรงของ “พริอุส ใหม่” มีเสถียรภาพมาก ส่วนพวงมาลัยยังกำได้หลวมๆ ทุกอย่างดูสงบนิ่งอยู่ภายใต้การควบคุม
      
       แม้มีบางจังหวะลองเข้า-ออกโค้งหนักๆ ตัวรถ(บอดี้)อาจโยกคลอนนิดหน่อย แต่ช่วงล่างยังรู้สึกแน่นเกาะถนน ที่สำคัญการสั่งงานผ่านพวงมาลัยไฟฟ้านั้นแม่นยำเหมาะมือ
      
       โดยช่วงล่างหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง หลังเป็นคานแข็งทอร์ชันบีม ความรู้สึกนุ่มกำลังดี แต่เวลาเข้าโค้งความเร็วสูงก็ไม่ยวบจนน่าเกลียด รวมๆแล้วการถ่ายเทน้ำหนักและการควบคุมเซ็ทมาเยี่ยม และน่าจะเหนือกว่า “คัมรี่ ไฮบริด” นิดๆ
      
       ด้านเกียร์สั่งงานไฟฟ้าแบบจอยสติกส์ เหมือนพวกบีเอ็มดับเบิลยู และอาจจะต้องใช้เวลาทำความคุ้นชินในการโยกตำแหน่งเปลี่ยนเกียร์สักระยะ แต่พอตั้งหลักได้แล้วไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ส่วนแป้นเบรกออกแนวแข็ง แต่กดไปเพียงนิดก็รับรู้ถึงการทำงานของดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้ออย่างมีประสิทธิภาพ ระยะชะลอหยุดตามคาด และไม่ออกแนวหัวทิ่มหน้าจิก
      
       สำหรับอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ย หลังจากผ่านการขึ้นเขา-ลงเขา พร้อมทางตรงที่ใช้ความเร็วสูง โดยใช้ “พาวเวอร์โหมด” และ “โหมดปกติ” เป็นหลัก ตัวเลขหน้าจอดิจิตอลโชว์ให้เห็น 6 ลิตรต่อ 100 กม. หรือประมาณ16.66 กม./ลิตร
      
       รวบรัดตัดความ - รถไฮบริดที่ได้ชื่อว่าขายดีที่สุดในโลก ถึงวันนี้ถูกนำมาผลิตในเมืองไทย พร้อมราคาขายสมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีและออปชันที่ได้รับ...ศักราชใหม่ของยนตรกรรมอนาคตจะเริ่มนับจากนี้ โดยมีคนไทยเป็นสักขีพยานความสำเร็จ
      
      

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น